โดย นายสัตวแพทย์ภัทรพล มณีอร : ที่มา วารสารมณีบูรพา
สวัสดีครับ ท่านผู้อ่านมณีบูรพาทุกท่าน ต้องขออภัยเป็นอย่างยิ่งที่หายหน้าหายตาไประยะหนึ่งครับ เนื่องด้วยภารกิจในพื้นที่ป่ามันมาก ประกอบกับต้องไปช่วยเหลือสัตว์ป่าในประเทศเพื่อนบ้าน และในขณะที่ผมกำลังเขยนอยู่นี้ ผมอยู่ในป่าแห่งหนึ่ง ซึ่งมีกวางป่าบาดเจ็บอยู่ ๓ ตัว ตัวหนึ่งเป็นแผลขนาดใหญ่ที่อก ตัวหนึ่งเป็นกวางท้องแก่ขนเม่นแทงที่ขา และอีกตัวหนึ่งท่อพีวีซีไปสวมที่ขา และในระหว่างนั้นก็มีแผนบินเฮลิคอปเตอร์กับนักบินของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อดูว่ารอบๆ พื้นที่ป่าอันเป็นแหล่งชุมชนนั้น ไม่มีการเลี้ยงปศุสัตว์ และมีการปล่อยปศุสัตว์เหล่านั้นเข้าไปในพื้นที่ป่าหรือไม่ เพราะอยากเล่าให้ฟังในฉบับก่อนหน้านี้ ว่าการปล่อยปศุสัตว์เข้าไปหากินในพื้นที่ป่านั้น เสี่ยงต่อการนำโรคติอต่อได้ ระหว่างปศุสัตว์กับสัตว์ป่า
ก็ถือว่าเป็นอีกก้าวหนึ่งของภารกิจหมอสัตว์ป่า ที่ทำงานในพื้นที่ป่าในการเฝ้าระวังและสำรวจโรคในสัตว์ป่าครับ แต่กว่าวิธีการและแนวทางจะมาถึงจุดนี้ได้นั้น แน่นอนครับ ผมมีอาจารย์พูดกันตรง ๆ เลยว่ากว่าจะมาเป็นหมอสัตว์ป่าในวันนี้ นอกจากผมเองจะผ่านการเรียนหลักสูตรสัตวแพทยศาสตร์บัณฑิตมาแล้ว ในการเรียนรู้เรื่องสัตว์ห่าในห้องเรียนนั้นน้อยมาก โดยเฉพาะแนวทางของการทำงานในแบบที่เรียกว่าหมอสัตว์ป่า Wildlife Veterinarian เพราะไม่มีในตำรา มีแต่ในต่างประเทศ ซึ่งการนำมาใช้ในงานบ้านเราทั้งหมดนั้นไม่ได้ เพราะความแตกต่างในเรื่องของสภาพพื้นที่ ชนิดสัตว์ อุปกรณ์เครื่องมือ เป็นต้น แนวทางและวิธีการทำงานต่าง ๆ จึงต้องอาศัยคนรอบตัวของผมนี่ละครับ เป็นอาจารย์
แรกเริ่มเดิมที การวางแผนการทำงาน เราอาศัยการทำงานแบบ ทำงานไปด้วย เรียนรู้ไปด้วย Learning by doing ถ้าใช้คำแบบบ้าน ๆ ก็ลองผิดลองถูกนั้นละครับ โดยมีอาจารย์หมออลงกรณ์ มหรรณพสัตวแพทย์ช่วยราชการสำนักพระราชวัง รศ. สพ.ญ. ดร.สุมลยา กาญนพังคะ อาจารย์คณะสัตวแพทย์จุฬาพี่หมอสุเมธ กมลนรนารถ ผู้อำนวยการส่วนอนุรักษ์ วิจัยและศึกษา องค์การสวนสัตว์ พี่หมอต้อม รัฐพันธ์ พัฒนรังสรรค์ ตอนนี้เรียนต่อปริญญาเอกที่อเมริกา เป็นผู้ให้คำแนะนำต่าง ๆ นี่ยังไม่ทั้งหมดนะครับ ยังมีพี่ ๆ เพื่อน ๆ น้อง ๆ สัตวแพทย์ที่ทำงานกับสัตว์ป่าและสวนสัตว์อีกหลายคนที่ไม่ได้กล่าวถึง หากกล่าวให้ครบ คงใช้เนื้อที่คอลัมน์ประมาณสามสัปดาห์ ทุกคนถือว่าเป็นอาจารย์ผมหมด ใครรู้อะไร ด้านไหน หรือมีข้อแนะนำอะไร เราจะแบ่งปันกัน ซึ่งรวมไปถึง เจ้าหน้าที่ หรือทีมงานกรมอุทยานฯ ที่ทำงานร่วมกับผม
พี่ทิน นายสุทิน อาจอรัญ เป็นเจ้าหน้าที่จากเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาอ่างฤาไน ที่ทำวานในพื้นที่มาเป็นเวลานานไม่เพียงแต่จะมีประสบการณ์ด้านการทำงานเพียงอย่างเดียว แก ยังมีความสามารถด้านการก่อสร้างด้วย ครั้งแรกที่ผมได้เจอพี่ทิน จำได้ตอนนั้นเรากำลังจะตามช้างป่าบาดเจ็บ ดูแกไม่ค่อยจะเชื่อถือผมเท่าไหร่ อาจเป็นเพราะเรายังดูเด็กและอ่อนประสบการณ์ คงไม่มีใครที่จะยอมรับฟังคำสั่งจากเรา ตอนนั้นผมก็รู้ตัว ในการติดตาม วางแผน ผมก็จะฟังความคิดเห็นจากพี่เจ้าหน้าที่ เป็นอย่างมาก แล้วนำมาวิเคราะห์ เพื่อกำหนดแผนการ เลยทำให้ทีมงานรู้สึกว่า เราเป็นทีม ไม่ใช่ทำไปเพื่อคำสั่งใครคนใดคนหนึ่ง
ยามปฏิบัติภารกิจในป่า พี่ทินจะเป็นคนนำทางและเป็นคนคอยดูแลผม ห่าง ๆ หากแกเห็นว่า ผมกำลังต้องการความช่วยเหลือแกก็จะเข้ามา การทำงานในป่านั้นยากลำบากมาก อันตรายมีอยู่ตลอดเวลา มีอยู่ครั้งหนึ่งผมเดินในป่า เกือบเจอปืนผูกที่นายพรานผูกไว้สำหรับยิงกระทิง หากผมก้าวไปข้างหน้าอีกก้าวเดียว วันนี้ผมคงไม่มีขาที่สมบูรณืสำหรับทำงานก็เป็นได้ โชคดี ที่พี่ทินมาดึงไหล่ไว้ทัน เข้าใจเลยครับ อาการที่หัวใจอยู่ตรงตาตุ่ม ในยามพักแรมในป่า พี่ทินนี่แหละที่คอยหุงหาอาหารให้ผมทาน เฝ้าเวรยามตลอด และคอยสอนสั่งผมตลอด เกี่ยวกับเรื่องป่า บางคืนเรานั่งคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์กันทั้งคืน สนุกดี เวลาผมสั่งงานอะไรไป ก็มีพี่ทินนี่แหละ ที่ดูจะบกพร่องน้อยกว่าคนอื่น ๆ
ด้วยความที่พี่ทิน เป็นคนเจ้าสำราญ เฮฮา เป็นเพื่อนคุยกับผมได้ตลอดเวลา อาการติดสุราจึงเกิดขึ้นกับพี่ทิน บ่อยครั้งหลังเสร็จงานพี่ทินจะดื่มสุรากับผม แต่ต่อให้เมาแค่ไหน เมื่อถึงเวลางานพี่ทินก็ทำงานได้ ตื่นเช้าได้ มีความรับผิดชอบในหน้าที่ แต่พอนานเข้าสุขภาพแกไม่ค่อยดี มีปัญหาเรื่องเบาหวาน และตับแข็ง และสิ่งที่แข็งไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าตับของแก ก็คือ หัวใจ แกเป็นมานาน แต่ก็ไม่เคยบ่น หรือบอกให้ใครรู้ รู้แต่ว่าเมื่อไหร่ที่ต้องทำงาน พี่ทินพร้อม ผมถามทีไรก็บอก ไม่เป็นไรหมอ เราไปตามรักษาช้างกันเถอะ พร้อมกับสอนผมเรื่องเส้นทางที่ช้างป่าหากิน เลยทำให้ผมลืมเรื่องนั้นไปเลย
หลังจากรักษาช้างตัวนั้นได้ ผมก็ต้องเข้าป่าพื้นที่อื่น เพื่ไปช่วยเหลือสัตว์อื่น ๆ ต่อ เลยไม่ได้ติดต่อกับพี่ทินเลย มาทราบข่าวอีกทีว่าพี่ทินอาการหนัก เข้าโรงพยาบาล ไม่นานก็เสียชีวิต มันเป็นสิ่งที่ผมเสียใจมาก ไม่ใช่ฐานะทีมงานเดียวกัน แต่ในฐานะตัวแทนสัตว์ป่าทั้งหลาย ชีวิตแกค่อนข้างลำบาก ขัดสน แต่เรื่องหัวจิตหัวใจในการทำงาน จิตอาสา พี่แกเป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับผม ถึงแม้วันสุดท้ายของพี่ทินเราไม่ได้เจอกัน แต่ผมเชื่อว่า คำพูดคำพูดหนึ่งที่พี่ทินสอนไว้กับสอนว่า “เกิดมาทีเดียว ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะใด จงทำความดีไว้ เพราะถึงแม้ชีวิตจะมลาย แต่ความดี ไม่มีวันตาย” ขอบพระคุณมากครับพิ่ทิน ผมจะระลึก ปฏิบัติและจดจำ ส่วนตอนนี้ใครพอจะรู้บ้างว่าครอบครัวพี่ทินที่เหลืออยู่ หลังจากที่ขาดแกไป เป็นอย่างไรบ้าง ได้รับการช่วยเหลือเช่นไรบ้าง ฝากไว้ทิ้งท้ายครับ
ด้วยความอาลัย นายสุทิน อาจอรัญ อาจารย์ของผม